สวัสดีครับ ทุกท่าน
ชีวิตคนเราน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ ทุกคนแสวงหาเงิน ทำอะไรหลายๆ อย่าง ... เพื่อเงิน ยอมเสียอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเงิน เป็นความจริงที่ฟังดูแล้ว อึดอัด ... น่าเวทนา?
แต่ความจริงอีกข้อหนึ่ง คือ
" การดำเนินชีวิตจะสะดวกสบายขึ้นมาก ถ้ามีเงิน "
คุณสมศรี ขายสร้อยคอทองคำเส้นสุดท้ายที่ได้รับเป็นของขวัญวันแต่งงาน เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายค่าอาหาร ค่าเช่าบ้านที่ค้างชำระ จ่ายค่าเทอม ของลูก 2 คน ขณะที่สามารถรวบรวมเงินได้เพียง 3,000 บาท!
คุณสมร เข้าสู่ระบบขายตรงเครือข่าย เมี่อ 2 ปีที่แล้ว เธอมีเงินมากพอที่่จะ จ่ายค่ารักษาพยาบาลของทุกคนในครอบครัว เมื่อมีการเจ็บป่วย ซื้อเสื้อผ้าให้ลูกสาว ซื้อกีต้าร์ ให้ลูกชาย มีรถยนต์ที่มีความปลอดภัยสำหรับครอบครัวได้ใช้ในการเดินทาง ซื้อของขวัญให้ญาติสนิท มิตรสหาย ทำบุญ ทำทาน ตามที่ใจปราถนา ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ทำในสิ่งที่ต้องการจะทำ เธอทำได้ ... เพราะเธอมีเงิน
ผมขอยืมคำพูดของ นักร้อง นักปราชญ์ ชื่อดัง แฟรงค์ซิเนตร้า
" ผมเคยรวย และผมเคยจน เชื่อผมเถอะนะครับว่า ... รวยนั้นดีกว่าจน "
แนวทางการหาเงิน
ลองพิจารณา แนวทางการทำรายได้เหล่านี้ ซึ่งถือปฏิบัติกันมาช้านาน สำหรับปุถุชน ชาวบ้านธรรมดาๆ ดังต่อไปนี้ ครับ
1. เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย หางานทำ ก่อร่างสร้างฐานะ
2. เริ่มทำธุรกิจขนาดย่อมของตัวเอง
3. ลงทุนใน ธุกิจแฟรนไชส์
4.ซื้อ ลอตเตอรี่
จากทางเลือกทั้งหมด ... การลงทุนซื้อ ลอตเตอรี่ ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด โอกาสในการถูก ลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 นี้ประมาณ 1 ในล้าน ในขณะที่การทำธุรกิจขนาดเล็ก การลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ และการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย นั้นมีโอกาสในการประสบความสำเร็จมากกว่า แต่เงินลงทุนนั้นมากกว่า ลอตเตอรี ใบละ 40 บาท มากมาย
การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
ผมยังเห็นด้วยกับแนวทางในการแสวงหา ความรู้ ปูพื้นฐานการแสวงหารายได้ ด้วยระบบการศึกษา ของคนทุกชั้นทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชน ผมยังเห็นด้วยว่า " ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามากที่สุด ในโลก คือการศึกษา "
จอห์ มิลตัน ฟอกซ์ บรรณาธิการหนังสืออัพไลน์ เขียนบทความต่อไปนี้ เพื่อสนับสนุนข้อโต้แย้ง และชี้ให้เห็นในอัตราเสี่ยงในการลงทุน โดยการคำนวณทางคณิตศาสตร์
หากท่านประสงค์จะเป็นวิศกร นายแพทย์ ทนายความทำงานค้นคว้า หรือเป็นครูบาอาจารย์ การแสวงหาความรู้ โดยเข้าเรียนมหาวิทยาลัยยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ปัจจุบันการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมีค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้นทุกที บัณฑิตที่จบการศึกษา จากรั้วมหาวิทยาลัย 9 คน จากจำนวน 10 คน จะไม่ได้ทำงานตรงกับสาขาที่ร่ำเรียนมา บัณฑิตส่วนใหญ่จะไม่สามารถทำเงินได้มากพอ ที่จะคุ้มกับการลงทุนค่าใช้จ่าย 4 ปี ที่พ่อแม่ได้ลงทุนไป
สภาวะเศรษฐกิจจะบีบบังคับ บริษัทต่างๆ ให้เลิกจ้างพนักงานมากขึ้นทุกที เมื่อปี 1993 พนักงานที่ถูกเลิกจ้างในสหรัฐฯ มากถึง 700,000 คน ปัจจุบันคนอเมริกันตกงานประมาณ 3,000 คน ทุกๆวัน ไม่เฉพาะสหรัฐประเทศเดียว บริษัทโซนี่ ยักใหญ่ในวงการอิเล็กทรอนิกส์ ของญี่ปุ่นเลิกจ้างพนักงานถึง 20% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
มีคนจำนวนน้อยมาก ที่มีความมั่นคงทางฐานะการเงิน โดยการแลกเวลากับเงินในการทำงานให้กับผู้อื่น ท่านจะสามารถใช้ความรู้ความสามารถของท่านได้เพียง 25% ...
เขาสรุปว่า...ไม่คุ้มการลงทุน และไม่สามารถรวยได้
สวัสดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น